วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลการลดความเจ็บปวดระหว่างกลุ่มที่ได้ ยา etoricoxib และกลุ่มที่ได้ยา placebo ในผู้ป่วยที่ถูกตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกวัสดุและวิธีการ: ศึกษาแบบ double-blind, randomized controlled trial ในผู้ป่วยที่ถูกตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก 80 ราย ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ์ ระหว่าง 1 กันยายน พ.ศ. 2549 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2550 โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม กลุ่มที่หนึ่งได้ยา etoricoxib (120 มก.) จำนวน 40 ราย และกลุ่มที่สองได้ยา placebo จำนวน 40 รายก่อนการตัดชิ้นเนื้อ ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่ได้รับยาหรือวิธีการระงับปวดอื่นร่วมด้วย ผู้ป่วยถูกประเมินความเจ็บปวด โดยใช้วิธี visual analog scale (VAS) ประเมิน 4 ช่วงเวลาคือ ก่อนการใส่ speculum, ขณะตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก, ภายหลังการตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกทันที และภายหลังการตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก 30 นาที และได้ประเมินความพึงพอใจด้วยวิธี VAS เช่นกันผลการศึกษา: ข้อมูลพื้นฐานผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม เช่น อายุ, ดัชนีมวลกาย, ประวัติคลอดบุตรทางช่องคลอด และประวัติเคยขูดมดลูกหรือผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน ไม่มีความแตกต่างกันในทั้งสองกลุ่ม คะแนนเฉลี่ยความเจ็บปวดในกลุ่มที่ได้ยา etoricoxib ต่ำกว่ากลุ่มที่ได้ยา placebo ใน 3 ช่วงเวลา แต่พบว่ามีนัยสำคัญทางสถิติเฉพาะช่วง ภายหลังตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก 30 นาทีเท่านั้น (0.2 ± 0.5 และ 0.6 ± 0.8 ตามลำดับ, p = 0.01) และคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในกลุ่มที่ได้ยา etoricoxib สูงกว่ากลุ่มที่ได้ยา placebo อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (6.9 ± 1.8 และ 5.1 ± 2.3 ตามลำดับ, p = 0.001) โดยไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มสรุป: การใช้ยา etoricoxib ในผู้ป่วยที ่ถูกตัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก ไม่สามารถลดความเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้ยา placebo แต่มีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในกลุ่มที่ได้ยา etoricoxib สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ