หลักการและวัตถุประสงค์ : ภาวะความดันโลหิตต่ำเป็นปัญหาที่พบบ่อยหลังจากผู้ป่วยได้รับการฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลังเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง การศึกษาครั้งนี้จึงทำการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำและระยะเวลาที่การชาถึงระดับ T4 เมื่อฉีดยาในขณะผู้ป่วยนั่งหรือนอนตะแคง

วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาไปข้างหน้าแบบสุ่มในห้องผ่าตัดโรงพยาบาลปทุมธานี ผู้ป่วยทั้งหมด 80 ราย ASA physical status II ที่เข้ารับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องแบบไม่เร่งด่วน ถูกสุ่มแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มที่1 (กลุ่ม L) ฉีดยาชาในขณะที่ผู้ป่วยนอนตะแคงขวาลง กลุ่มที่2 (กลุ่ม S) ฉีดยาชาในขณะที่ผู้ป่วยนั่ง ทั้ง 2 กลุ่มได้รับยาชาเป็น 0.5% hyperbaric bupivacaine ขนาด 10 มิลลิกรัม รวมกับมอร์ฟีน 200 ไมโครกรัม ฉีดภายใน 20 วินาที และจัดผู้ป่วยในท่านอนหงายหนุนสะโพกทันที บันทึกระยะเวลาที่ใช้ในการฉีดยาชาเข้า

ช่องน้ำไขสันหลัง ระดับการชา ความดันโลหิต และปริมาณ ephedrine ที่ได้รับเพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ รวมทั้งความสุขสบายและพึงพอใจของผู้ป่วย

ผลการศึกษา : พบว่าอุบัติการณ์การเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำในกลุ่ม L มากกว่ากลุ่ม S อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 40 และ ร้อยละ 22.5, p = 0.04) ระยะเวลาที่ระดับการชาถึง T4 ในกลุ่ม L เร็วกว่ากลุ่ม S (4.82 ± 2.58 นาที และ 6.35 ± 3.11 นาที, p = 0.04) ปริมาณ ephedrine ในกลุ่ม L มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (13.95 ± 8.13 มก. และ 7.01 ± 6.43 มก., p < 0.001) เวลาตั้งแต่เริ่มแทงเข็มจนฉีดยาชาได้ในกลุ่ม L ใช้เวลานานกว่า (5.99 + 3.58 นาทีและ 3.01 ± 1.02 นาที, p < 0.001) ไม่มีความแตกต่างกันทั้งปริมาณสารน้ำที่ได้ เด็กที่ผ่าคลอดออกมาและความพึงพอใจของผู้ป่วย

สรุป : การฉีดยาชาในท่านั่งทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำน้อยกว่าฉีดยาชาในท่านอนตะแคง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ระดับการชาถึง T4 ช้ากว่า