วัตถุประสงค์:  เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการระงับปวดของการฉีดยาชา 0.25% bupivacaine บริเวณแผลผ่าตัดมดลูก ร่วมกับการดมยาสลบเปรียบเทียบกับการฉีดยามอร์ฟีนเข้าช่องไขสันหลังร่วมกับการดมยาสลบและเปรียบเทียบการใช้ยาแก้ปวดหลังผ่าตัด

สถานที่ศึกษา: ห้องผ่าตัด โรงพยาบาลนครพิงค์ เชียงใหม่

รูปแบบงานศึกษา: การศึกษาแบบไปข้างหน้าแบบ Radomized

วิธีการศึกษา: สตรีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกมดลูกชนิดไม่ร้ายแรง (myoma uteri) ที่เข้ารับการผ่าตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้องโดยลงแผลแบบแนวยาว (midline incision) อายุ 20-65 ปี จำนวน 40 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการสุ่มผู้ป่วยกลุ่มละ 20 ราย โดยกลุ่มแรก ผู้ป่วยได้รับการระงับความรู้สึกโดยการดมยาสลบร่วมกับการฉีดยาชา 0.25% bupivacaine บริเวณแผลผ่าตัดก่อนเย็บปิดแผล กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการระงับความรู้สึกโดยการดมยาสลบร่วมกับการฉีดยามอร์ฟีน เข้าช่องน้ำไขสันหลังก่อนการดมยาสลบ บันทึกคะแนนความเจ็บปวดโดยใช้ numerical rating scale (NRS) ที่เวลา 1 4 8 12 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด และปริมาณยาที่ได้รับใน 24 ชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วย Mann whitney U test

ผลการศึกษา: ข้อมูลพื้นฐาน ในด้านอายุ น้ำหนัก และส่วนสูง ระยะเวลาการผ่าตัดของทั้ง 2 กลุ่ม ไม่แตกต่างกัน ความเจ็บปวดแผลหลังผ่าตัด (NRS) ที่ 1 4 8 12 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ทั้งสองกลุ่ม มีความแตกต่างกัน โดยกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา morphine เข้าช่องน้ำไขสันหลังมีความเจ็บปวดน้อยกว่าและไม่ต้องรับยาแก้ปวดหลังผ่าตัดเลย ส่วนกลุ่มที่ฉีดยาชา 0.25% bupivacaine บริเวณแผลผ่าตัด มีคะแนนความเจ็บปวดสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = .000) อีกทั้งยังต้องใช้ยาแก้ปวด morphine ฉีดเฉลี่ย 7.40 ± 2.98 มิลลิกรัม

สรุป: กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยา 0.25% bupivacaine ไม่มีผลลดความเจ็บปวดและการใช้ยาแก้ปวดหลังผ่าตัด เมื่อเทียบกับยาฉีด morphine เข้าช่องไขสันหลังในผู้ป่วยผ่าตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้องที่ดมยาสลบ